วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

กำอู้บ่าวสาว



     สวัสดีคะทุกๆคน ใกล้จะถึงวันวาเลนไทน์เข้ามาทุกทีๆ ใจก็เต้นตุ๊บป่อง ตุ๊บป่องว่าปีนี้ก็คงจะแห้วเหมือนปีที่ผ่านๆ มา คือ ไม่มีใครเอาดอกไม้ช่อน้อยๆ มาให้ตามเคย แต่ก็ไม่ใส่ใจอะไรมากมาย คริๆ แต่ถ้ามีก็คงจะดีว่างั้นเหอะ 


  

     ออกนอกเรื่องไปละกลับมาเข้าเรื่องของเรากันดีกว่าหลังจากที่ได้ ทำเนื้อหาเกี่ยวกับคำคมล้านนาที่เกี่ยวกับการเปรียบเทียบเปรีบยเปรยเรื่องราวต่างๆที่มักจะแฝงอยู่ในชีวิตประจำวันของคนเรา มาคราวนี้จึงอยากทำเนื้อหาเกี่ยวกับ กำอู้บ่าวสาว เนื่องจากการที่หนุ่มสาวจะตกลงปลงใจยินยอมมาใช้ชีวิตร่วมกันฉันท์สามีภรรยานั้น จะต้องเริ่มต้นมาจากการได้พบปะพูดจา ดูอุปนิสัยซึ่งกันและกันมานานพอสมควร ครั้นเห็นว่ามีอะไรหลายๆอย่างที่คล้ายคลึงกัน ก็มีการหมายหมั้นแต่งงานกันไปในที่สุด




              หนุ่มสาวในสมัยก่อนนั้น ไม่นิยมที่จะมา "อู้สาว" ในเขตละแวกหมู่บ้านเดียวกันเพราะเคยเห็นกันมาตั้งแต่ยังเล็กๆ เคยเล่นหัวด้วยกันมา มีความรักใคร่กันเหมือนญาติพี่น้อง อีกประการหนึ่งนั้นการที่จะมา "อู้สาว" หมู่บ้านเดียวกันนั้นมักจะถูกล้อเลียนว่า "แอ่วสาวบ้านเดียวเหมือนเตียวไปขี้" ความหมายก็คือ การที่ไปจีบสาวในหมู่บ้านเดียวกันนั้นเปรียบเหมือนกับเดินไปหาส้วมนั่นเอง การนั่ง "อู้สาว" จะไม่มีการล่วงเกินกันเลย จนกว่าจะได้รับการฝากรัก และฝ่ายหญิงก็เต็มใจด้วย ซึ่งหมายความว่า ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงนั้นก็พร้อมที่จะตกแต่งเป็นสามีภรรยากันแล้ว จึงจะมีการ "ผิดผี" กันขึ้น

             ทีนี้จะกล่าวถึงการมาแอ่วของพวกบ่าวๆ เมื่อพวกบ่าวมาถึงบริเวณบ้าานก็จะ "อู้กำค่าวกำเคลือ" เป็นทำนองขอขึ้นไปนั่งบนบ้านว่า

"สาวเหยสาว อ้ายคนบ่เหมาะ ขอเปาะสักเกิ่ง อ้ายคนบ่เปิง เปาะนี่สักผาก นั่งต๋ามหัวต๋ง หัวแป้นหัวฟาก ก่อหล้างบ่เป๋นหยังก้าหา" ซึ่งแปลว่า น้องสาวจ๊ะ พี่คนต่ำต้อยขอขึ้นไปนั่งบนบ้านสักนิดจะได้ไหม จะขอนั่งแถวๆหัวบันใดนี่แหละ เจ้าของบ้านคงจะไม่ว่าให้กระมัง



ข้างฝ่ายสาวก็จะเชื้อเชิญด้วยกำค่าวกำเคลือเหมือนกันว่า

"นั่งเต๊อะๆ จะไปนั่งตั๊ดต๋ง ฟากจะไหลลง ต๋งจะไหลถี่ คนงามคนดี นั่งไหนก่อได้เจ้า" ซึ่งแปลว่า นั่งเถิดจ๊ะ แต่อย่าไปนั่งแถวหัวบันใดเลย คนดีๆหล่อๆ จะขึ้นมานั่งตรงไหนก็ได้จ๊ะ

เมื่อฝ่ายบ่าวๆ พากันขึ้นไปนั่งบนบ้านเรียบร้อยแล้ว ก็จะเริ่มเกี้ยวพาราสีกันด้วยกำค่าวกำเคลือซึ่งพวกบ่าวๆที่ไปด้วยกันนั้น ก็จะช่วยสนับสนุนคำพูดของพวกเดียวกกัน บางทีสาวก็อับจนต่อถ้อยคำ จะหากำค่าวมาแก้ก็คิดไม่ออก พวกบ่าวๆ เหล่านั้นก็จะหากำค่าวที่่ค่อนข้างจะตลกๆ มาแก้ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ฝ่ายสาวต้องอับอายที่อับจนต่อถ้อยคำนั่นเอง กำค่าวตลกๆ ที่เอามาแก้กันนั้น พวกหนุ่มๆ เหล่านั้นก็จะพูดกันเองแก้กันเองก็ได้ เช่น 

"เปิ้นแมวลี้ ใคร่แอ้มแถมสอง ขี่เฮือน้ำนอง จั้งต๋ายรถคว่ำ" แมวลี้ ก็หมายถึง มีแล้ว ตัวเขามีแล้วแต่อยากจะมีถึงสองคน เปรียบเหมือนขี่เรือในยามน้ำหลากนั้น ย่อมจะตายเพราะรถพลิกคว่ำ

ฝ่ายแก้ก็จะแก้ว่า "แมวบ่ลี้ บ่ได้กิ๋นหนู๋ ปล๋าเหยี่ยนอยู่ฮู ยังใส่เตี่ยวก้อม" ซึ่งแปลว่า แมวไม่แอบก็ไม่ได้กินหนู เหมือนปลาไหลอยู่ถึงในรู ยังรู้จักนุ่งกางเกงหูรูด

บางทีการไปอู้สาวนั้น ก็อาจจะไปเจอคำปริศนา เพื่อลองภูมิกับพวกบ่าวๆ เช่นฝ่ายสาวถามว่า "อ้ายมาแอ่วนี่ ข้ามน้ำมากี่แม่ ประตู๋บ้านหับกาว่าไข ประตู๋คันใดไขกาว่าเปิ้ง" ซึ่งแปลว่า พี่มาเที่ยวที่บ้านของน้องนี้พี่ข้ามแม่น้ำมากี่สาย จุดแคร่ (คบไฟหรือไต้) มากี่อัน ประตูบ้านของพี่ปิดเอาไว้หรือเปิดทิ้งเอาไว้ ประตูบันใดใส่กลอนเอาไว้หรือเปิดอ้าเอาไว้ ซึ่งความหมายของปริศนานี้นั้น เป็นการถามถึงการไปแอ่วหาผู้หญิงคนอื่นมากี่คน แวะไปกี่บ้านถึงจะมาถึงบ้านของเธอ และที่บ้านนั้นมีคนรอคอยหรือเปล่า อาจจะหมายถึงว่ามีเมียอยู่ที่บ้านไหม

บ่าวก็จะต้องตอบว่า "อ้ายมาแอ่วนี่ ข้ามน้ำมาสามแม่ ต๋ามแค่มาสามก้าน มาดับบ้านอี่นายเนี่ยก่า" ซึ่งแปลว่า กว่าจะมาถึงที่นี่ก็ได้ไปแวะบ้านผู้หญิงมาสามคน และแวะมาสามบ้าน ตั้งใจจะมาเที่ยวที่บ้านของผู้หญิงคนนี้เป็นบ้านสุดท้ายนั่นเอง

ในวันนี้ก็ขอฝากไว้เพียงเท่านี้สำหรับ "กำอู้บ่าวสาว" ว่ากว่าจะได้อยู่ร่วมหอห้องเดียวกันนั้นแสนที่จะยากเข็ญเพราะผู้หญิงสมัยก่อนเป็นผู้ที่รักนวลสงวนตัว และฝ่ายชายก็ไม่มีนิสัยปากว่ามือถึงเหมือนสมัยนี้ด้วยค่ะ 

 



วันพุธที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2554

กำบ่ะเก่าเล่าสู่กั๋นฟัง(ต่อ)




แก่นต๋าตั๋วขวักออก  เอาแก๋นบ่ากอกเข้ายัด
หมายความว่า  ของตัวดีๆ เอาออกทิ้งกลับเอาของที่เลวกว่ามาใส่แทน เป็นคำเปรียบเปรยของคนที่เห็นของผู้อื่นดีกว่าของตนเอง เช่นนัยน์ตาของตนอยู่ดีๆ กลับควักทิ้งแล้วเอาเม็ดมะกอกมาใส่แทนลูกตา

กำบ่ดี บ่ดีแป๋งใส่ กำบ่ใหญ่ บ่ดีแป๋งเอา หมาสามตั๋วก็วายข้าว เฒ่าสามย่าก็วายครัว  จุ๋มปลวกอยู่ยังนาว่าแสงข้าว  เฒ่าอยู่ยังเฮือนว่าแสงเฮือน
หมายความว่า  คำพูดเพียงเล็กน้อยเอาขยายให้ใหญ่โตทำให้ผู้อื่น  ได้รับความเสียหาย สุนัขสามตัวเลี้ยงเอาไว้ก็เปลืองข้าว  ผู้ชายมีเมียสามคนทำให้เสียสมบัติเพราะจะต้องแบ่งปันให้เมียทุกๆคนจอมปลวกที่อยู่ในนาข้าวก็ถือว่าเป็นมงคล คนแก่ๆ อยู่กับบ้านสั่งสอนลูกหลานให้ประพฤติดีก็เรียกว่าเป็นศรีเรือน

กำฟู่ของนักปราชญ์เหมือนดาบสองคม กำฟู่ของคนง่าวงมเหมือนลมปั๊ดยอดไม้
หมายความว่า  คำพูดของผู้มีความรู้นั้นเปรียบเหมือนดาบสองคม เพราะรู้หลักการพูดสามารถโน้มน้าวจิตใจได้ง่าย ไม่เหมือนคำพูดคนโง่ ที่พูดอะไรออกมาก็ไม่มีสาระอะไร เปรียบเหมือนลมพัดผ่านยอดไม้เฉยๆ ไม่มีความหมายอะไร

กล๋องบ่ตี๋ เสียงดักจะกว๊าย เอามือขึ้นป๊าย เสียงดังเนืองนัน
หมายความว่า  กลองที่เก็บไว้เฉยๆก็ไม่มีเสียง  แต่ถ้าหากว่าเอามือขึ้นป้ายก็จะส่งเสียงดังกระหึ่มเปรียบเหมือนคนที่มีความรู้  แต่เมื่อไม่ได้นำความรู้นั้นไปใช้เป็นประโยชน์ ก็ย่อมจะไม่มีค่าอันใด  แต่เมื่อนำความรู้นั้นออกมาใช้งานที่ตรงกับความรู้ก็จะก่อให้เกิดประโยชน์มากมาย

กิ่วปูกิ่วดอยผ่อหัน กิ่วคนไผผ่อบ่หัน
หมายความว่า  คอดของภูเขานั้นเราสามารถมองเห็นได้แต่บุญวาสนาของคนเรานั้นไม่มีใครมามองเห็นได้

กำบ่ควรจ๋า ป๊อยมาฟู่ต้าน เป๋นดีรำคาญแต้ตั๊ก ขอวานดักเหีย หื้อเย็นเงียบพักปอมีหว่างอั้น ใจ๋ดี 
หมายความว่า คำที่ไม่ควรพูดก็นำมาพูด มันช่างน่ารำคาญเหลือเกิน หยุดเงียบก่อนให้อารมณ์ดีเสียก่อนแล้วค่อยมาพูดกันใหม่

กำติเตี๋ยนสำเนียงจ๋มส้าม ย่อมจะมีมากู้ทิศ
หมายความว่า  คำติเตียนนินทานั้น ย่อมจะมีมาทั่วทุกสารทิศ

ก๋ำขี้ดีกว่าก๋ำตด
หมายความว่า  โอกาสที่จะมาถึงนั้น แม้ว่าจะได้เล็กๆ น้อยๆ ก้ต้องคว้าเอาไว้ก่อน อย่าไปมัวรอของที่คิดว่าจะมีค่ามากกว่าทีหลัง เข้าทำนองสิบเบี้ยใกล้มือต้องรีบถือเอาไว้ก่อน

กิ๋นได้เอาไว้ในไห กิ๋นบ่ได้เอาไว้ในใจ๋
หมายความว่า  ของที่รับประทานได้เอาเก็บไว้ในไห ของที่รับประทานไม่ได้เอาเก็บไว้ในใจ หมายความว่าของที่ควรจะเป็นอาหารนั้นควรเก็บเอาไว้ในไห คือเก็บเอาไว้รับประทาน ส่วนของที่รับประทานไม่ได้ ซึ่งเป้นคำพูดยกย่อง ติฉินนินทานั้น ควรจะเก็บเอาไว้ในใจ

กิ๋นตานหยาดน้ำ ทำบุญหลวงหลาย จักได้สบาย เกิดสุขปายหน้า
หมายความว่า  ทำบุญไว้มากๆ ย่อมจะได้รับผลบุญตอบสนองในภาวะชาติหน้า

เก้าเหลี้ยมสิบเหลี้ยม บ่เต้าเหลี้ยมใบคา เก้าหนาสิบหนา บ่เต้าหนาความฮู้
หมายความว่า  เก้าแหลมสิบแหลมยังไม่แหลมเท่ายอดหญ้าคา เก้าหนาสิบหนาไม่เท่ากับหนาความรู้

กำจ่มกำด่านั้นเป๋น กำดี ถ้าฟังบ่ถี่มันตึงบ่ม่วนหู
หมายความว่า  คำสั่งสอนของคนแก่นั้นย่อมจะเป็นคำดี ถ้าหากฟังแล้วไม่ไตร่ตรองก็ย่อมจะไม่ชอบถ้าหากว่าไตร่ตรองแล้วก็จะรู้ว่านั่นคือคำสั่งสอนที่แนะนำให้ประพฤติดี

ข้าวลีบมันตึงบ่งอก
หมายความว่า  เมล็ดข้าวลีบนั้นย่อมจะไม่มีทางที่จะงอกขึ้เป็นกล้าขึ้นมาได้ เช่นเดียวกับคนที่ไม่มีความรู้และวิชาการย่อมจะหาความเจริญได้ยาก

ข้ามน้ำหลายต้า หม่าข้าวหลายเมือง
หมายความว่ารู้จักคนทั่วๆไป เคยพึ่งพาอาศัยต่อกัน ครั้นเราไปตกอยู่ในบ้านเมืองนั้นๆ ก็ยังจะได้อาศัยเป็นที่พึ่งในยามที่พลัดบ้านหลงเมืองไปก็ได้

ของหล้างได้ แหนมว่าอยู่ปล๋ายไม้ ก็หยัวะหยวาดลงใส่ ของบ่หล้างได้ แหนมว่าเอาใส่ถงสะปายแง้น ก็หลัวะหลูดลงจากบ่า
หมายความว่า  ของที่จักได้เป็นเจ้าของนั้นแม้ว่าจะอยู่สูงบนยอดไม้ ก็ยังตกลงมาหา และของที่ไม่ได้เป็นเจ้าของนั้น แม้ว่าจะเอาใส่ถุงสะพายบ่าไว้ ก็ยังหลุดตกเสียหายไปได้


วันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2554

กำบ่ะเก่าเล่าสู่กั๋นฟัง




แรงบันดาลใจในการทำเรื่องนี้

          ข้าพเจ้าเป็นคนเชียงใหม่โดยกำเนิด ทำให้รักการแสดงศิลปวัฒนธรรม ประเพณีในแบบล้านนาและอีกอย่างที่ข้าพเจ้าไม่เคยลืมคือ การพูดคำเมือง(อู้กำเมือง) ทุกครั้งที่ได้ฟังเพลงล้านนาไทยของวงไม้เมืองซึ่งมีเนื้อร้องว่า"บ่ดีอายตี้เป๋นคนเมืองสืบสานงานศิลป์ลือเลื่อง อู้ภาษากำเมืองเลืองล้ำล้านนาไทย"จะทำให้คิดถึงสิ่งที่บ่งบอกความเป็นเชียงใหม่ซึ่งในทุกวันนี้นับวันจะเลือนหายไปตามกาลเวลา เนื่องจากถูกวัฒนธรรมจากประเทศอื่นกลัดกลืนไปหมด ดังนั้นข้าพเจ้าจึงอยากทำบล็อคที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับคำพูดคำเปรียบเปรย หลักคำสอนต่างๆ ที่จะทำให้มนุษย์รู้จักกระทำในสิ่งดีละเว้นสิ่งชั่ว คำพูดของผู้ชายที่มาจีบสตรีสมัยก่อน (บ่าวจีบสาว) และสุดท้ายคือการยอดม้วนคำพูด (กำอู้) ซึ่งท่านจะได้ติดตามในเวลาต่อไป แต่ในวันนี้ขอนำเสนอคำคมที่เป็นการเปรียบเปรยเปรียบเทียบต่างๆ ดังนี้

กบใกล้ปากงู หนูใกล้บอกไม้ จิ๊นเน่าใกล้ดังแมว
หมายความว่า กบอยุ่ใกล้งู หนูอยู่ใกล้กระบอกไม้ไผ่ เนื้อเน่าอยู่ใกล้จมูกแมว เป็นของที่อยู่ใกล้กันไม่ได้ความหมายคล้ายๆกับภาษิตของภาคกลางที่ว่า น้ำตาลใกล้มด


กลั๋วล้ำจ้างต๋าย อายล้ำจ้างต้าว
หมายความว่า กลัวมากเกินไปก็จะพาลตายเอาง่ายๆหรือเกิดความอายมากๆก็จะทำให้สะดุดล้มลงเป้นคำสั่งสอนสำหรับคนที่ไม่มีความกล้าหรือคนที่ขลาดกลัวไม่มีการตัดสินใจที่แน่นอน


กันใคร่เย็นหื้ออาบน้ำวังหิน กันอยากใคร่หื้อมีทรัพย์สินหื้อหมั่นก๊า  กันอยากใคร่ขึ้นสวรรค์จั๊นฟ้าหื้อหมั่นกิ๋นหมั่นตาน
หมายความว่า อยากจะเย้นให้อาบน้ำวังหิน อยากมีทรัพย์สินให้หมั่นค้าขาย หากว่าอยากจะขึ้นสวรรค์ให้สร้างบุญกุศล


ก้มหน้าหื้อผ่อดินเมือง จักรุ่งเรืองไปวันตางหน้า
หมายความว่า ให้ก้มหน้าดูผืนดิน เพราะวันหน้าอาจจะได้รับความเจริญรุ่งเรือง หมายความว่าให้มีความเจียมตน ขยันขันแข็งประกอบสัมมาชีพเพราะวันข้างหน้าอาจจะร่ำรวยขึ้นมา


กันมีเงินคำหื้อหมั่นกึ๊ดสร้าง กันอยากจะใคร่ฮื้อเปิ้นอวดอ้าง หื้อหมั่นกิ๋นหมั่นตาน
หมายความว่า เมื่อมีเงินทองให้คิดก่อร่างสร้างตัว ถ้าอยากจะให้คนกล่าวขานถึงชื่อเสียง ก็ให้หมั่นทำบุญ


กันน้ำบ่หนา ปู๋ปลาบ่ข้อน กิ๋นแกงบอน มันจ้างคันนอกลิ้น
หมายความว่า หากว่าน้ำไม่มีปูปลาก็ไม่มาอาศัย เปรียบเหมือนคนที่ไม่มีเงินย่อมจะหาบริวารพวกพ้องไม่ได้ รับประทานแกงบอนมันย่อมรู้สึกคันนอกลิ้น เป็นคำตำหนิคนที่ชอบพูดนินทาคนอื่น เป็นคนปากบอนชอบเอาเรื่องคนอื่นมาพูด


ก้นหม้อบ่ฮ้อน บ่เป๋นแต่ไห มันเป๋นแต่ไฟ บ่ใจ้กับหม้อ
หมายความว่า หม้อที่เอามาตั้งบนเตาไฟไม่ร้อน ไม่ใช่เป็นเพราะหม้อหากแต่เป็นเพราะไฟไม่แรงเหมือนกับคนที่ทำความผิดเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จะไปโทษคนที่ทำผิดไม่ได้ จะต้องหาสาเหตุของการที่ทำผิดเสียก่อนว่า สาเหตุนั้นมาจากอะไร


กันว่าจะมัด บ่ต้องมัดด้วยป๋อ กำปากกำคอมัดกั๋นก่อได้
หมายความว่า หากว่าจะมัดไม่ต้องมัดด้วยเชือก คำพูดนั่นแหละเอามัดจิตใจกัน


เกิดเป๋นมนุษย์ สัตว์โลกโลก๋า หากว่าจ๊ะรา โฮยแฮงแก่เฒ่า เป๋นธรรมดาบ่ว่าข้าเจ้าเหมือนกั๋นสัตว์คน ใหญ่น้อย
หมายความว่ารรพสัตว์ที่เกิดมาในโลกนี้ย่อมจะมีความชราแก่เฒ่าเป็นธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นข้าทาสเจ้าขุนมูลนายและสัตว์ใหญ่น้อยโดยทั่วไป ก็ย่อมจะหนีความชราไปไม่พ้น


กิ๋นง่ายจ่ายอ่วย มักเป๋นคนตุ๊กข์ กิ๋นจิ๊กิ๋นจำ หมั่นฮิมหมั่นฮอม มักจะเป๋นคนมี
หมายความว่า ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายไม่รู้จักประหยัด มักจะอับจนกลายเป็นคนยากเข็ญ ใช้จ่ายอย่างประหยัด รู้จักมัธยัสถ์เก็บออม ก็จะได้รับความสุขสบายเมื่อภายหลัง